ทักทายครับ



สวัสดีครับ ผม อาจารย์ต้น ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการตั้งชื่อ
จากเว็บไซต์ชื่อดัง http://www.ajanton.blogspot.com

สำหรับผู้ที่เข้ามาสู่หน้านี้ หากยังไม่เห็นหน้าหลัก ผมขอแนะนำว่า
ในหน้าหลัก คุณจะพบบทความเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกเพิ่มเติมหลายเรื่อง และในหน้าหลักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการ ตั้งชื่อลูก, ชื่อตัว, ตั้ง-เปลี่ยนนามสกุล, ตั้งชื่อร้าน, ตั้งชื่อบริษัท, ตั้งชื่อผลิตภัณฑ์, ฮวงจุ้ย และความรู้อื่น ๆ ที่นjาสนใจเป็นความรู้รอบตัวครับ

กลับสู่หน้าเดิม

กลับสู่หน้าเดิม
กลับสู่หน้าเดิม
***** ***** กลับสู่หน้าเดิม คลิก รูปอาจารย์ ***** *****

บทเรียนต้น ๆ สำหรับลูกรัก

บทเรียนต้น ๆ สำหรับลูกรัก

การจะให้ลูกรักเติบโตเป็นเด็กที่มีคุณภาพและคุณธรรมได้นั้นจะต้องฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยตั้งแต่ยังเยาว์ ดังที่โบราณท่านกล่าวไว้ "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"  คุณพ่อคุณแม่ทุกคนประสงค์อยากมีลูกที่น่ารัก ว่านอนสอนง่ายด้วยกันทั้งนั้นแต่บางท่านไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
เรื่องง่ายที่ควรนำไปใช้เหมาะกับเด็ก 1-5 ปี คือ
  • เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนก็สอนให้ช่วยคุณแม่เก็บเครื่องที่นอนอย่างสนุกสนาน ไหวบ้างไม่ไหวบ้างก็ไม่เป็นไร

  • สอนให้ลูกใส่กางเกง,กระโปรง,เสื้อ,ถุงเท้าด้วยตนเอง ผิดบ้างถูกบ้างก็ขำ ๆ คุณแม่อย่าซีเรียสก็แล้วกัน

  • ของเล่นที่ลูก ๆ เล่นแล้วต้องเก็บเข้าที่ เป็นที่เป็นทางเสมอ

  • การรับประทานอาหาร ลูกควรตักอาหารเข้าปากเอง ไม่ควรป้อนให้ยาวนานเกินไปจะติดนิสัย ทั้ง4หัวข้อนี้จะฝึกให้ลูกเป็นคนมีความรับผิดชอบตัวเอง มีน้ำใจต่อพ่อแม่ เมื่อลูกทำเองก็จะรู้ว่าพ่อแม่เหน็ดเหนื่อยอย่างไร ต่อไปก็จะเห็นใจพ่อแม่บ้างไม่มากก็น้อย

  • การพูดจา อย่าส่งเสริมให้ พูดจาห้วนๆ,คำหยาบ,คำด่า,เถียงผู้ใหญ่จนเคยชิน การส่งเสริมก็คือการชื่นชมหรือหัวเราะชอบใจเวลาที่ลูกพูดเช่นนี้ เด็กเขาไม่เข้าใจจึงคิดว่าคำพูดแบบนี้ดี ทำให้คนชอบใจได้ ก็จะทำอีกจนติดนิสัยกลายเป็นเด็กพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ โตขึ้นก็เถียงพ่อแม่หน้าตาเฉย วิธีที่ดี ควรตักเตือนตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก ๆ เลยว่า...แบบนี้ไม่ดีนะลูกจะทำให้ลูกไม่น่ารัก ลูกควรใช้คำนี้ดีกว่า.....

  • อย่าให้พูดสอดแทรกเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน ถ้าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เพราะถ้าติดนิสัยจนโตก็จะกลายเป็นไม่มีมารยาท บอกลูกว่า...ลูกยังเด็กอยู่ไม่ควรพูดแทรกเวลาผู้ใหญ่คุยกันนะลูก เอาไว้เดี๋ยวเรามาคุยกันทีหลังนะ

  • ทุกอย่างที่ลูกทำได้ต้องมีคำชื่นชมทุกครั้ง คนในครอบครัวก็ช่วยกันชื่นชมในสิ่งที่ถูก เด็กก็จะแยกแยะได้ออกว่าทำแบบนี้ดีแน่ ๆ เพราะมีคนชอบ ทำแบบนั้นไม่ดีแน่ ๆ เพราะถูกตักเตือน ก็ขอให้คำแนะนำดี ๆ นี้เป็นประโยชน์ก้บคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน ตอนต่อไปจะเขียนถึงเด็กก่อนวัยรุ่น อายุ 6-12 ปี


--------------------------------------------------------------------

เลี้ยงทารก ด้วยนมแม่หรือนมผง อย่างไหนดีกว่า



ขอบคุณที่มา www.breastfeedingthai.com

รวมความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ article


 การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หลังหกเดือนแล้วจำเป็นต้องใช้นมชนิดอื่นเลี้ยงทารกด้วย

ไม่จริง !  นมแม่ให้คุณค่าทุกอย่างแก่ทารกเช่นเดียวกันกับที่มีในนมชนิดอื่นและมีมากกว่าด้วยซ้ำไป  เด็กทารกที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน ควรจะเริ่มทานอาหารเสริมสำหรับทารกเป็นหลัก เพื่อให้ทารกได้เรียนรู้วิธีการทานอาหารและทารกก็จะเริ่มได้รับธาตุเหล็กจากอาหารแหล่งอื่นนอกจากนมแม่  ซึ่งในระยะ 7-9 เดือนนั้นหากเด็กดื่มแต่นมแม่เพียงอย่างเดียวอาจได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอเท่านั้นเอง 
ตราบใดที่ทารกยังคงได้รับการเลี้ยงด้วยนมแม่อยู่  นมวัวหรือนมผสมนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น   อย่างไรก็ตาม ถ้าแม่ต้องการจะให้ลูกดื่มนมภายหลังจากหกเดือนไปแล้ว , มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เด็กทารกจะไม่สามารถดื่มนมวัวได้, ตราบใดที่ทารกยังคงดื่มนมแม่ได้สองสามครั้งในหนึ่งวัน และทารกยังคงได้ทานอาหารเสริมหลากหลายชนิดในปริมาณมากกว่าปริมาณต่ำสุดที่ร่างกายควรได้รับ ทารกที่อายุมากกว่าหกเดือนขึ้นไปส่วนใหญ่ที่ไม่เคยดื่มนมผสมมาก่อน มักจะไม่ยอมดื่มนมผสมทั้งนี้เพราะรสชาติของนมผสมที่ไม่อร่อยเหมือนนมแม่นั่นเอง


นมผงดัดแปลงสำหรับทารกสมัยนี้ดีเกือบจะพอๆ กับนมแม่

ไม่จริง !  เหมือนกับข้ออ้างที่เคยมีในปี 1900 และก่อนหน้านั้น นมผสมรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันนั้นคล้ายคลึงกับ นมแม่ เพียงผิวเผินเท่านั้น  ทุกๆ  ข้อบกพร่องของนมผสมได้ถูกโฆษณาว่ามีการพัฒนาสูตรโดยการเติมสารอาหารต่างๆแล้ว  แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกนมผสมเหล่านี้ทำลอกเลียนอย่างไม่ถูกต้องบนพื้นฐานความรู้ที่ล้าสมัยและไม่สมบูรณ์ว่า นมแม่ นั้นเป็นอย่างไร  นมผสมต่างๆนั้นไม่มีแอนตี้บอดี้, ไม่มีเซลล์ที่มีชีวิต, ไม่มีเอ็นไซม์ต่างๆ, ไม่มีฮอร์โมน 
นมผสมประกอบไปด้วยบรรดาธาตุอลูมิเนี่ยม, แมงกานีส, แคดเมียม, และธาตุเหล็กมากกว่าที่มีใน นมแม่ และนมผสมก็มีโปรตีนมากกว่านมแม่อย่างชัดเจน โปรตีนและไขมันต่างๆในนมผสมนั้น โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างจากโปรตีนและไขมันในนมแม่  นมผสมต่างๆไม่ได้มีความแตกต่าง(ของสารอาหาร)  ไม่ว่าจะตั้งแต่ช่วงแรกที่ลูกเริ่มดูดนมไปจนถึงช่วงสุดท้ายของการดูดเหมือนนมแม่ หรือ ไม่มีความแตกต่างกันเลยไม่ว่าจะเป็นนมผสมจากวันที่  1 กับวันที่ 7 หรือวันที่ 30    ไม่มีความแตกต่างในผู้หญิงแต่ละคน หรือเด็กทารกแต่ละคน  ซึ่งไม่เหมือนกับนมแม่ นมแม่ของคุณนั้นถูกสร้างขึ้นมาตามความต้องการให้เหมาะสมกับลูกของคุณ  นมผสมต่างๆนั้นผลิตขึ้นมาเหมือนกันหมดสำหรับเด็กทั่วไปทุกๆคน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้เหมาะสมกับเด็กคนไหนเลยด้วยซ้ำ  นมผสมประสบความสำเร็จเพียงแค่การทำให้ทารกเจริญเติบโตดี  แต่นมแม่นั้นดีมีประโยชน์มากกว่าแค่ทำให้ทารกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเท่านั้น


ควรทำความสะอาดหัวนมทุกครั้งก่อนให้ลูกดูด นมแม่

ไม่จริง ! การให้ทารกดื่มนมผสมนั้นต้องใส่ใจระมัดระวังเรื่องความสะอาด เพราะนมผสมนอกจากจะไม่ได้ช่วยป้องกันทารกต่อต้านการติดเชื้อแล้ว แต่ยังเป็นแหล่งที่ดีในการแพร่เชื้อแบคทีเรียและยังสามารถปนเปื้อนได้อย่างง่ายดายอีกด้วย  ในทางตรงข้าม นมแม่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อให้แก่ทารก การล้างทำความสะอาดหัวนมก่อนการให้นมลูกแต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดความยุ่งยากในการให้นมลูกโดยไม่จำเป็นเลย และยังเป็นการชะล้างเอาพวกไขมันตามธรรมชาติซึ่งช่วยต่อต้านแบคทีเรียออกไปจากบริเวณหัวนมด้วย


ให้ลูกดื่มนมจากขวดนมง่ายกว่าให้ลูกดูดนมแม่

ไม่จริง !  อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นถูกทำให้ดูยุ่งยากเพราะผู้หญิงทั้งหลายมักจะไม่ได้รับการแนะนำช่วยเหลือในช่วงเริ่มเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ซึ่งพวกเธอควรจะได้เริ่มต้นอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกๆ การเริ่มต้นที่ไม่ดีนั้นสามารถทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องยากได้จริงๆ แต่ว่าการเริ่มต้นที่ไม่ถูกต้องนั้นก็สามารถทำให้ผ่านพ้นไปได้  การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มักจะทำได้ยากในครั้งแรกเนื่องจากการเริ่มต้นที่ไม่ดี  แต่โดยปกติแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายในเวลาต่อมา


การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำกัดอิสรภาพของแม่

ไม่จริง !   แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองเรื่องนี้อย่างไร เด็กทารกสามารถดูดนมแม่ได้ทุกที่ ทุกเวลา ดังนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นทำให้แม่มีอิสระไม่ยุ่งยาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลากเอาขวดนมหรือนมผสมไปไหนต่อไหนด้วยให้พะรุงพะรัง ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับว่าจะต้องอุ่นนมที่ไหน ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความสะอาดปราศจากเชื้อโรค ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าลูกจะเป็นอย่างไรเพราะว่าลูกอยู่กับคุณตลอดระหว่างให้นมแม่


 ถ้าแม่ป่วยเป็นโรคติดต่อแล้วต้องหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ไม่จริง !  ยกเว้นเพียงบางกรณีเท่านั้น (ซึ่งมีน้อยมากๆ)  ทารกจะได้รับการปกป้องจากการดื่มนมแม่โดยแม่ยังคงให้นมลูกต่อไป เมื่อแม่เป็นไข้ (หรือไอ, อาเจียน, ท้องร่วง, ผื่นแพ้ ฯลฯ) ทารกก็ได้รับเชื้อโรคจากแม่แล้ว  ตั้งแแม่ได้รับเชื้อโรคมาแล้วสองสามวัน ก่อนที่แม่จะรู้ตัวว่าตัวเองป่วยเสียอีก การปกป้องทารกจากการติดเชื้อหรือโรคติดต่อที่ดีที่สุดนั้นก็คือ การที่แม่ยังคงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป ถ้าทารกป่วย เขาจะป่วยไม่มากนักถ้าแม่ยังคงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป 
นอกจากนี้แล้ว บางทีอาจจะเป็นทารกเองที่ป่วยและแม่ได้รับเชื้อโรคจากลูก เพียงแต่ทารกไม่ได้แสดงอาการป่วยเพราะว่าทารกนั้นได้ดื่มนมแม่  เช่นเดียวกันกับการติดเชื้อที่เต้านมของแม่ ซึ่งได้แก่ ฝีที่เต้านม หรือแม่แต่การเจ็บคัดเต้านมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้ต้องหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยแท้จริงแล้ว การติดเชื้อที่เต้านมนั้นดูเหมือนจะหายได้อย่างรวดเร็วกว่า  ถ้าแม่ยังคงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยให้ลูกดูดนมข้างที่เป็นนั้นต่อไป


ถ้าทารกท้องร่วงหรืออาเจียน แม่ควรหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ไม่จริง !  การรักษาการติดเชื้อทางเดินอาหารที่ดีที่สุดของทารกคือการดื่มนมแม่  ช่วงที่ทารกท้องร่วงหรืออาเจียนอาจหยุดทานอาหารอย่างอื่นไประยะหนึ่ง  แต่ควรจะให้ลูกดื่มนมแม่ต่อไป นมแม่นั้นเป็นของเหลวเพียงชนิดเดียวที่ลูกของคุณต้องการเมื่อเด็กมีอาการท้องร่วง และ/ หรือ อาเจียน  ยกเว้นภายใต้สภาวะผิดปกติบางอย่างเท่านั้น การผลักดันให้ใช้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ในเด็กที่ท้องร่วงหรืออาเจียนนั้นส่วนมากถูกผลักดันโดยบริษัทผู้ผลิตนมผสม (และ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่) เพื่อให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทำเงินได้มากขึ้นให้แก่บริษัท เด็กทารกนั้นสามารถที่จะดื่มนมแม่ได้อย่างสบายและแม่เองก็ได้รับความสะดวกสบายจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่


หากแม่ทานยาต้องหยุดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ไม่จริง ! มียาเพียงจำนวนน้อยมากๆที่แม่ไม่สามารถทานยานั้นได้อย่างปลอดภัยระหว่างที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่  อาจพบปริมาณยาเพียงเล็กน้อยในน้ำนม  แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นปริมาณที่น้อยมากซึ่งไม่น่าวิตกกังวลอะไร แต่หากยารักษาโรคชนิดนั้นอาจจะมีผลข้างเคียงที่น่าวิตก ก็ยังคงมียาชนิดอื่นๆซึ่งมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเทียบเท่ากันกับยาดังกล่าวนั้น  ดังนั้น ควรจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างประโยชน์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีต่อทั้งแม่และลูกที่จะต้องเสียไปเมื่อพิจารณาว่าจะหยุดการให้นม


ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ต้องหยุดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 

ไม่จริง !  ถ้าหากว่าแม่และเด็กยังคงต้องการ  การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังคงดำเนินต่อไปได้  มีผู้หญิงจำนวนมากที่ยังคงให้นมลูกคนที่โตกว่าต่อไปถึงแม้จะคลอดลูกคนใหม่ออกมาแล้วก็ตาม  ผู้หญิงหลายๆคนตัดสินใจที่จะหยุดให้นมลูกเมื่อพวกเธอตั้งครรภ์ เพราะพวกเธอมีอาการเจ็บคัดที่เต้านมหรือด้วยเหตุผลอื่นๆ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องรีบหยุดให้นมลูก  หรือไม่ใช่เหตุผลทางด้านการแพทย์ที่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ในความเป็นจริงแล้วมีเหตุผลที่ดีมากมายที่ควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป  ปริมาณนมแม่อาจจะลดลงระหว่างที่ตั้งครรภ์แต่อย่างไรก็ตามถ้าเด็กทานอาหารเสริมอย่างอื่นได้  เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย


การเลี้ยงลูกแฝดด้วยนมแม่นั้นเป็นการยากเกินไปที่จะทำ

ไม่จริง ! ถ้าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดำเนินไปได้ดีไม่มีปัญหา การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่ลูกแฝดนั้นง่ายกว่าการป้อนฝาแฝดด้วยนมขวดเสียอีก สิ่งนี้ก็คือคำตอบที่ว่า  ทำไมถึงต้องพยายามอย่างมากเป็นพิเศษในการที่จะเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ถูกต้องตั้งแต่แม่เริ่มคลอดทารกฝาแฝดออกมา มีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องเลี้ยงลูกแฝดสามด้วยนมแม่เองแต่เพียงผู้เดียว  แน่นอนว่าการทำเช่นนี้เป็นงานที่หนักและต้องใช้เวลามาก แต่การให้นมแก่ฝาแฝดสองและแฝดสามนั้นก็เป็นงานที่หนักและใช้เวลามากอยู่แล้วไม่ว่าคุณจะเลี้ยงพวกเขาด้วยนมอะไรก็ตาม


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่ได้ เพราะไม่มีนม หรือนมไม่พอ

ไม่จริง !   จริงๆ แล้ว  ผู้หญิงที่เป็นแม่ส่วนใหญ่มีนมสำหรับลูกเกินพอเสียอีก  การที่ทารกบางคนร้องมากๆ ในช่วงสัปดาห์แรกไม่ใช่เพราะ นมแม่ไม่พอ  แต่เป็นเพราะการดูดไม่ถูกต้อง  ทำให้ทารกไม่ได้รับน้ำนมที่มีอยู่ในอกแม่อย่างที่ต้องการ  เมื่อดูดไม่ถูกต้อง  ลูกก็จะร้องเพราะไม่ได้น้ำนม  วิธีแก้ปัญหาคือ ให้ลูกดูดให้ถูกวิธี ดูดบ่อยๆ ในวันแรกๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม  ในทางตรงข้าม แม่ส่วนใหญ่กลับคิดว่าตนเองไม่มีน้ำนม   แล้วก็แก้ปัญหาด้วยการให้นมผสม  แล้วก็หยุดให้ลูกดูดนมตนเอง  พอหลายๆ วันเข้า  ร่างกายคุณแม่ก็จะตอบสนองด้วยการหยุดสร้างน้ำนมจริงๆ  เพราะไม่มีความต้องการแล้ว


เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ หลังคลอด (ไม่ว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอด)  ให้ลูกดูดให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ดูดบ่อยๆ  และดูดให้ถูกวิธี  (ก่อนออกจากโรงพยาบาล ต้องแน่ใจแล้วว่าลูกดูดนมแม่ได้อย่างถูกต้องแล้ว) 


อย่าลืมอ่าน
ที่มา  : 

แปลโดย  พัชรินทร์ เจริญบุตร 



แพทย์แนะนำใช้ธรรมะกับลูก

แพทย์หญิงสมสิริ   สกลสัตยาทร  

กุมารแพทย์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช  สุขุมวิท  

                    ท่านได้ปฏิบัติธรรมศึกษาธรรมะมานานกว่า  30  ปี  ได้เรียนรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐที่สมควรนำมาสอนลูกเพื่อลูกจะได้มีความคิดดี  มีจิตใจดี  มีคุณภาพชีวิตที่ดี  
                    ดังนั้นจะเห็นว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องล้าสมัย  แต่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว  การนำสิ่งดี ๆ มาให้ลูก ๆ ถือว่าพ่อแม่เป็นความฉลาด  เพราะเมื่อลูกรู้จักธรรมะ  ก็คือรู้จักดี รู้จักชั่ว แยกแยะเป็น  ก็ทำให้พ่อแม่เบาใจได้ว่า  เมื่อใดก็ตามที่ลูกอยู่ลับหลังพ่อแม่  เขาจะไม่ทำเลว  เขาจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ  
                    จึงขอแนะนำให้พ่อแม่  เอาธรรมะสอนลูก ๆ ตั้งแต่วัยเด็กน้อย  ปลูกฝังให้เขา  ซึ่งธรรมะก็มีหลายรูปแบบเหมาะกับวัย  อย่างของเด็ก ๆ ก็มีการ์ตูนธรรมะ มีทั้งซีดี , มีทั้งหนังสือการ์ตูน , มีทั้งภาพยนตร์  ก็หาที่เหมาะสมกับวัยของลูก  แล้วคุณจะได้ลูกที่เป็นเทวดา  เป็นเทวดาด้วยจิตด้วยการกระทำ




นมที่ใช้เลี้ยงลูก


เมื่อตั้งครรภ์มา  9  เดือนโดยประมาณ  ก็มาถึงบทบาทของคุณแม่มือใหม่ที่มีความสงสัยทุกเรื่องเกี่ยวกับการดูแลลูก  เรื่องนมที่จะให้ลูกกินก็เป็นปัญหาใหญ่  ไม่รู้จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีหรือว่านมผงดี  อะไรจะดีกว่ากัน  ก็ขอฟันธงเลยว่า "นมแม่ดีที่สุด"  มีสารอาหารครบถ้วนที่สุด  ในนมผงไม่ว่าเขาจะใส่สารอาหารชื่อเท่ ๆ แค่ไหนก็สู้นมแม่ไม่ได้  ยังไงก็สู้ไม่ได้  ธรรมชาติสร้างอาหารสิ่งแรกของมนุษย์ไว้ดีแล้วนั่นคือนมจากเต้าของแม่  บางคนก็รู้ว่านมแม่ดี  แต่ไม่มีเวลาจะอยู่ให้นมลูกก็แนะนำให้บีบใส่ถุงเก็บเข้าตู้เย็น
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างเด็กที่กินนมแม่  กับเด็กที่กินนมผง  ดังนี้

  • เด็กที่กินนมผง  อารมณ์ไม่แจ่มใส  พัฒนาการช้ากว่า  ภูมิต้านทานโรคน้อยกว่า  ขาดความอบอุ่นความผูกพันธุ์ระหว่างแม่ลูก
  • เด็กที่กินนมแม่  จะมีความฉลาดทางอารมณ์  เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส  มีการพัฒนาการทางร่างกายและการเรียนรู้ได้ดีกว่า  มีภูมิต้านทานโรคดีกว่า  ได้รับความอบอุ่นจากอกแม่ได้ดีทำให้ลูกรู้สึกไม่ขาดอะไร  ครบถ้วนทางจิตใจ
  • เมื่อลูกมีฟันเริ่มขึ้นแล้ว  หัดให้เคี้ยวอาหารทานอาหาร  แต่อย่างไรก็ตามการดิ่มนมเสริมก็ยังสำคัญอยู่

สัญญาณอันตรายของคนตั้งครรภ์



สำหรับคนตั้งครรภ์ต้องหมั่นสังเกตุตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปบ้างหรือไม่  และควรศึกษาสัญญาณอันตรายไว้บ้างเพื่อจะได้สังเกตุตัวเองเพื่อแก้ไขได้ทัน

  • ตัวบวมเท้าบวมซึ่งคนตั้งครรภ์มักมีอาการนี้อยู่แล้ว  แต่ที่เป็นสัญญาณอันตรายก็คืออาการบวมอย่างรวดเร็วเกินไปอาจเป็นสัญญาณครรภ์เป็นพิษ  ให้สังเกตุว่า ตัวบวม หน้าบวม ข้อนิ้วบวมถึงขนาดถอดแหวนไม่ออกอาการบวมอย่างรวดเร็ว , น้ำหนักตัวขึ้นเร็วมาก , ปัสสาวะกลับน้อยลง,  ปวดศีรษะมาก,  สายตาพร่ามัวหรือมองเห็นแสวเป็นจุด ๆ ,  มีอาการจุกแน่นที่ลิ้นปี่  ให้รีบพบแพทย์ทันที
มีเลือดออกทางช่องคลอดชณะตั้งครรภ์   มีหลายสาเหตุและมีอันตรายมากน้อยต่างกันไป  ดังนี้   กรณีที่มีเลือดออกทางช่องคลอด แล้วมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ให้รีบไปพบคุณหมอทันที แม้ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตามต้องรีบไปหาคุณหมอให้เร็วที่สุด เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
  • ถ้าแค่มีเลือดซึมๆ ออกมาในตอนกลางคืน แต่ไม่ปวดท้อง ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ก็สามารถไปหาคุณหมอในตอนเช้าได้ (แต่ถ้าให้ดีก็ควรไปทันทีเหมือนกันค่ะ)
  • มีโอกาสแท้งสูงมากหากมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่อายุครรภ์ยังไม่ถึง 28 สัปดาห์
  • ถ้าอายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ไปแล้วและมีเลือดออกจะเรียกว่า ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
หากมีมูกเลือดออกมาพร้อมกับเลือดด้วย ให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเพราะเป็นอาการใกล้จะคลอดเช่นกันดังนั้นสัญญาณดังกล่าวนี้หากเกิดขึ้นต้องรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัย

วิธีดูแลตัวเองเมื่อตั้งครรภ์



หญิงตั้งครรภ์มีสิ่งที่ต้องระมัดระวังหลายอย่าง  หากไม่ศึกษาหาความรู้ไว้บ้างก็จะทำให้ใช้ชีวิตในช่วงตั้งครรภ์ไม่สบายตัว  สุขภาพกายไม่ดีพาให้สุขภาพจิตเสียไปด้วย  เรามาดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องปรับเปลี่ยนบ้าง

  • ระวังสารอาหารที่ขาดหายไปในช่วงตั้งครรภ์  เช่น  กรดโฟลิก  แคลเซียม  และธาตุเหล็ก  และวิตามินต่าง ๆ ซึ่งโดยปกติหากเราอยู่ในการดูแลของคุณหมอ   คุณหมอจะให้เราทานวิตามินเสริมอยู่แล้ว  ดังนั้นคุณหมอแนะนำอะไรก็ควรปฏิบัติตามให้ครบถ้วนหากละเลยก็จะเกิดผลเสียในภายหลังทั้งแม่และลูก  และเป็นผลเสียแบบระยะยาวด้วย
  • รองเท้า  หญิงตั้งครรภ์ต้องใส่ใจเรื่องรองเท้า  หากใส่แบบที่เคยใส่ตามแฟชั่นนั้นจะทำให้ปวดขา  ปวดน่อง  ปวดหลัง  เท้าบวม  ดังนั้นรองเท้าแฟชั่นต้องพักไปก่อน  หันมาสนใจรองเท้าสำหรับคนตั้งครรภ์ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะ  แต่หากงบน้อยก็ใช้รองเท้าแตะหากเป็นแบบหุ้มก็ต้องให้โปร่งระบายอากาศได้ดี  เดินสบาย
  • อาหาร   สำหรับเรื่องอาหารการกินในช่วงตั้งครรภ์ควรเลือกสักหน่อยแม้บางอย่างจะต้องฝืนตัวเองบ้างก็ต้องทำเพื่อลูก  การศึกษาเรื่องอาหารจะเป็นประโยชน์ต่อลูกในครรภ์อย่างมากที่สุด  อาหารที่บำรุงสมองให้กับเขานั้นจำเป็นมาก  ผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้ลูกมีพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูกจะได้ฉลาด  
  • อารมณ์  อารมณ์ของแม่สำคัญต่อนิสัยใจคอของลูกอย่างมากเช่นกัน  หากแม่อารมณ์ไม่ดีบ่อย ๆ ขี้โมโห  ฉุนเฉียว  ก็จะทำให้ลูกเป็นเด็กเจ้าอารมณ์เหมือนกัน  วิธีทำให้แม่และลูกอารมณ์ดีก็คือการคุยกันบ่อย ๆ คุยกับลูกในครรภ์นั่นแหละ  สื่อสารกับเขาบ่อย ๆ เขารับรู้ได้  มีปฏิกิริยารับรู้ได้  ร้องเพลงกล่อม  เสียงเพลงเสียงดนตรีเป็นเสียงตัวโน้ตขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายได้ทั้งแม่ทั้งลูก
  • สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง  ควันบุหรี  แอลกอฮอล์  สิ่งเสพติดทั้งหลาย  
  • กลั้นปัสสาวะ  ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งจะเป็นอันตรายต่อครรภ์ได้   เนื่องจากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่สะดวกเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ หรือไม่ชอบเข้าห้องน้ำก็ตาม  การกลั้นปัสสาวะหากทำบ่อย ๆ จะทำให้กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ  สุดท้ายอาจถึงขั้นกรวยไตอักเสบ  ซึ่งอาจทำให้แท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดได้   พอจะมีวิธีแก้ไขอยู่บ้าง  1. ครึ่งชั่วโมงก่อนออกจากบ้านอย่าดิ่มน้ำและให้ปัสสาวะก่อนเดินทางแม้จะไม่ปวด  2.ใช้ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่แบบกางเกงในแบบบางกระชับก็ช่วยได้


ลูกวัยเยาว์ต้องการอะไร


เมื่อลูกเติบโตเป็นลำดับ

  • วัยแรกเกิดลูกต้องการความรักความห่วงใย  การพูดคุยหรือหยอกเย้าเล่นกับเขา  ลูกน้อยก็จะพอใจและมีความสุข
  • วัยคืบคลาน  เป็นวัยที่เขากำลังเรียนรู้การเคลื่อนที่ไปมา  กำลังซนทีเดียว  พ่อแม่ควรมีบริเวณให้เขาเฉพาะที่ปลอดภัย  เช่น  พื้นควรปูด้วยวัสดุนุ่ม ๆ และอย่ายกพื้นเดี๋ยวจะตกลงมาเขาจะแข็งแรงเพราะได้ออกกำลังกายด้วยการคืบคลานนี่แหละ
  • วัยตั้งไข่  (ฝึกยืน)  ช่วยวัยนี้ลูกจะหาที่เกาะเพื่อพยุงตัวให้ยืนขึ้น  ทำให้ลูกน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ดังนี้นพ่อแม่ควรปล่อยให้เขาทำด้วยตัวเอง  เพียงดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไม่ให้ล้มกระแทกในส่วนของสิ่งที่ลูกจะเกาะนั้นรอบตัวเขาควรจะนุ่มนิ่ม  จะได้ไม่บาดเจ็บหัวโน  ถ้าช่วยเขาไปเสียหมดเขาจะไม่แข็งแรงเท่าที่ควร  ธรรมขาติมอบโอกาสให้เขาแล้วตามวัยต้องปล่อยเขาทำตามธรรมชาติ
  • วัยหัดเดิน  เป็นช่วงที่คุณแม่คุณพ่อจะอุ้มเขาให้น้อยลง   แต่กอดเขาให้มากขึ้นเพื่อทดแทน  การหัดเดินจะทำให้ร่างกายพัฒนาได้เร็ว  ในช่วงแรกของการหัดเดินเขาจะล้มบ่อยให้ปูพื้นนุ่ม ๆ และระวังแง่โต๊ะ  มุมต่าง ๆ ระวังให้ดี  พอเดินเก่งแล้วให้จูงเดินเป็นส่วนใหญ่อย่าอุ้มมาก
  • วัยเข้าอนุบาล  ลูกอยากจะทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น  ก็จะเลอะเทอะมากขึ้น  พ่อแม่ต้องทำใจเตรียมไว้เลย  เพื่อจะได้ปล่อยลูกให้ทำอย่างอิสระ เช่น ตักข้าวเข้าปากเอง  ดื่มน้ำเอง  แต่ก็คอยแนะนำวิธีที่ถูกต้อง  ขณะเดียวกันอย่าคาดคั้นให้เขาทำให้ดีเหมือนใจเรา  เมื่อเขามีทักษาแล้วก็จะดีขึ้นเองตามธรรมชาติ